วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

10 อันดับ คุกที่แย่ที่สุดในโลก


10 อันดับ คุกที่แย่ที่สุดในโลก




คุกที่แย่ที่สุดในโลก อันดับ 10. Nairobi Prison, Kenya
คุก Nairobi แห่ง เคนย่า สถานที่ซึ่งนักโทษนิยมเปลือยกายล่อนจ้อนและติดโรคทางเพศสัมพันธ์มากมาย โดยปกติแล้ว เคนย่า เป็นประเทศที่ขาดแคลนความช่วยเหลือทางการแพทย์ เพราะฉะนั้นในคุกยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งป่วยหนักแค่ไหน ก็เท่ากับว่านอนรอความตายเท่านั้น!
คุกที่แย่ที่สุดในโลก อันดับ 9. Mendoza Prison, Argentina
10 คุกที่แย่ที่สุดในโลก
คุก Mendoza แห่ง อาร์เจนตินา สิ่งที่แย่ของที่นี่ไม่ใช่ความโหดร้ายของผู้คุมขัง แต่เป็นความโหดร้ายจากความคับแคบของสถานที่คุมขังซะมากกว่า เพราะคุกแห่งนี้รองรับนักโทษได้เพียง 600 คนเท่านั้น แต่พอเอาเข้าจริงคนทำผิดล้นทะลัก มาฝากขังกันกว่าเท่าตัว ไม่ตายเพราะกระทบกระทั่ง ก็หายใจติดขัด..ถึงขั้นสิ้นลม!
คุกที่แย่ที่สุดในโลก อันดับ 8. San Quentin State Prison, California
เรือนจำ San Quentin State แห่ง รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงด้านความรุนแรง เป็นคุกที่รวมนักโทษราว 1,500 คนที่มีความผิดร้ายแรง ต้องโทษสูงสุด ขั้นประหารชีวิต ทั้งยังมีปัญหาการแบ่งแยกสีผิวและเชื้อชาติ เหตุการณ์รุนแรงอันเป็นที่จดจำ คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2006 นักโทษต่างเชื้อชาติยกพวกตีกัน จนเกิดการบาดเจ็บสาหัสนับร้อย มีผู้เสียชีวิต 2 คน ผู้ควบคุมเองก็ไม่สามารถห้ามทัพได้!
คุกที่แย่ที่สุดในโลก อันดับ 7. Diyarbakir Prison, Turkey
คุก Diyarbakir ประเทศตุรกี สำหรับคนทำผิดแบบเบาๆ นั้น ที่นี่คือคุกสวรรค์ แต่สำหรับพวกมีความผิดร้ายแรงมหันต์ ที่นี่ก็เปรียบเสมือนนรก! เพราะการถูกคุมขังในเรือนจำแห่งนี้ตลอดชีวิตนั้นก็เท่ากับว่าเป็นของเล่นรองรับมือเท้าของเหล่าผู้คุม ทรมานกันแบบไม่ปราณี และส่วนใหญ่เป็นนักโทษทางการเมือง หลักฐานในปี 1996 พบว่า มีนักโทษตาย 10 ศพ บาดเจ็บสาหัสอีก 33 คน ล้วนเป็นผลจากฝีมือผู้คุมใจยักษ์ล้วนๆ
คุกที่แย่ที่สุดในโลก อันดับ 6. Rikers, New York
เรือนจำ Rikers แห่ง นิวยอร์ค เคยครองแชมป์คุกยอดแย่อันดับหนึ่ง ปัจจุบันมีการปรับปรุงและปราบปราม จึงทำให้การแทงกันของพวกนักโทษเหลือเพียง70 ครั้งต่อปี ซึ่งถือว่าลดลงอย่างมาก แต่ความรุนแรงก็กลายเป็นตำนานหลอน ลุกลามไปถึงเรื่องผีๆ ที่ผู้คุมหลายคนพากันสยองไม่หาย!
คุกที่แย่ที่สุดในโลก อันดับ 5. La Sabeneta Prison, Venezuela
คุก La Sabeneta แห่ง เวเนซูเอล่า ความแย่อยู่ที่ความแออัด อัตคัด ผู้คุม 1 คน ต้องดูแลนักโทษถึง 150 ชีวิต แถมยังมีการคอรัปชั่นในหมู่ผู้คุม ปล่อยปะละเลยในหน้าที่ นักโทษส่วนใหญ่ก่อเหตุคดีฆาตกรรม ภายใน ปี 1995 เคยมีนักโทษคดีนี้กว่า 800 คน และในช่วงที่ถูกคุมขัง เขาเหล่านี้ก็สำแดงเดช ดวลมีด ดวลไม้ ฟาดฟันกันจนตายถึง 108 คน ภายในวันเดียว!
คุกที่แย่ที่สุดในโลก อันดับ 4. La Sante Prison, France
คุก La Sante แห่ง ฝรั่งเศส ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานกักกันที่มีนักโทษฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมาก โดยการกินยาเบื่อหนู 124 ศพ ใน ปี 1999 ส่วนใหญ่มักฆ่าตัวตายเพราะต้องการหนีความทรมานจากการถูกขังในรูเล็กๆ ที่มีแสงรอดเข้ามาเพียงวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น การลงโทษของที่นี่คือการตัดน้ำเป็นระยะ ยิ่งสร้างความอึดอัดให้นักโทษ และส่วนใหญ่มีความผิดทางอาญาเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ก็ต้องอยู่ในห้องมืดดับแบบไม่มีกำหนด!
คุกที่แย่ที่สุดในโลก อันดับ 3. Carandiru Penitentiary, Brazil
Carandiru คุกที่แย่ที่สุดในโลก
ทัณฑสถาน Carandiru แห่ง บราซิล เรียกว่าเป็นสถานที่ทรมานมนุษย์อย่างถูกฎหมาย นักโทษ 7,500 คน ต้องอยู่รวมกันโดยไม่มีการแบ่งแยก และใน 500 คน นั้นเป็นผู้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งป่วยด้วยโรคร้ายจากการใช้เข็มและรักร่วมเพศในคุกแห่งนี้ ทุกครั้งที่ใครบางคนจะถูกผ่าตัด การโดนฉีดยาชาหรือยาสลบด้วยเข็มมันช่างน่ากลัวซะยิ่งกว่า ทางออกเดียวคือ หวีดร้อง ทุรนทุราย หนีเข็ม..จนสลบไปเอง!
คุกที่แย่ที่สุดในโลก อันดับ 2. Tadmor Military Prison, Syria
คุกทหาร Tadmor แห่ง ซีเรีย กลางทะเลทรายทางตะวันออก เป็นสถานกักกันที่มีการทรมานอย่างโหดเหี้ยม ด้วยระบบลงโทษสมัยยุคกลาง ครั้งหนึ่งคุกแห่งนี้เคยเกือบถูกยึดครองจากเหล่าผู้ถูกจองจำ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ปี 1980 กิจกรรมยามว่างของนักโทษ คือการฟาดฟันกันด้วยท่อ พอกลายเป็นศพก็ลากมาสับ สับ สับ โอ้ววว..ต้องหาอะไรให้พวกพี่เค้าทำแล้วล่ะ จะได้ไม่ว่าง!
คุกที่แย่ที่สุดในโลก อันดับ 1. ADX, Colorado
ADx คุกที่แย่ที่สุดในโลก
คุก ADX แห่ง โคโลราโด สถานกักกันระดับสูงสุดของประเทศสหรัฐ ก่อตั้งใน ปี 1994 แหล่งรวมสุดยอดคนพันธุ์ชั่ว พวกคนร้ายจะได้ออกมาสูดอากาศนอกรูเพียง 9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น! เฉลี่ยประมาณวันละชั่วโมงเศษ และต้องกลับเข้าไปเสพความมืดในช่องน้อยที่แสงเข้าไม่ถึงอีกเกือบเต็มวัน อึดอัด ขาดใจ ยิ่งกว่าสัตว์ถูกขัง!
อ้างอิง
http://travel.mthai.com/world-travel/40017.html

บัญญัติ 10 ประการของลูกค้าสมัยใหม่/Customer Trend (1/6)



บัญญัติ 10 ประการของลูกค้าสมัยใหม่/Customer Trend (1/6) 


อำนาจของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นทุกที  มีแนวโน้มว่าลูกค้าในอนาคตจะเรียกร้องต้องการมากว่าเมื่อก่อน  ความต้องการนั้นอาจแตกต่างไปตามประเภทสินค้าหรือกลุ่มลูกค้า, Life-cycle ของสินค้าหรือกลุ่มลูกค้า   ลูกค้าแต่ละคนยังมีความชอบส่วนตัวไม่เหมือนกันอีกด้วย  ถ้าอย่างนั้นคุณจะทำให้ลูกค้าทุกคนถูกใจได้อย่างไร ?  ต่อไปนี้ คือภาพรวมของความต้องการสากล ที่อาจเป็นแนวทางให้คุณเข้าถึงใจลูกค้าได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่เกี่ยงยุคสมัย



ข้อ 1 ความน่าเชื่อถือ และไว้ใจได้


                ความสัมพันธ์ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความไว้ใจ   ผู้ซื้อและผู้ขายที่จะผูกพันกันได้ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน  สิ่งที่ลูกค้าใช้ตัดสินความน่าเชื่อถือ และความไว้ใจได้ของผู้ขายคือ :

·         เล่นอย่างยุติธรรม  สิ่งแรกที่ลูกค้าใช้ตัดสินความยุติธรรมในความสัมพันธ์นี้คือ ราคา  ลูกค้าจะรู้สึกว่าคุณเล่นอย่างยุติธรรมเมื่อราคาสินค้าสมน้ำสมเนื้อกับคุณภาพและคุณค่า (value) ของสินค้า แต่ต้องไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับผู้ขายรายอื่นๆ ในตลาดระดับเดียวกัน

·         เปิดเผยและพร้อมรับผิดชอบ โดยแสดงที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ หรือหลักแหล่งที่ลูกค้าสามารถติดต่อคุณได้เมื่อสินค้ามีปัญหา เบอร์โทรศัพท์ของฝ่ายบริการลูกค้า หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนที่เห็นเด่นชัดบนหีบห่อ หรือป้ายโฆษณา ช่วยให้ผู้ซื้ออุ่นใจว่าบริษัทคุณมีหลักฐานมั่นคง และพร้อมรับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหากับสินค้าหรือบริการ

·         พูดกันอย่างเปิดอก คือการให้ข้อเท็จจริง หรือข้อมูลสินค้าอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่หลอกหลวง หรือปิดบังข้อมูลที่อาจมีผลกระทบด้านลบต่อผู้ซื้อ คุณไม่จำเป็นต้องชำระสะสางบริษัทให้บริสุทธิ์ผุดผ่องไปหมด แต่ลูกค้าไม่ชอบถูกหลอก ดังนั้น คุณไม่ควรสร้างภาพผิดๆ เกี่ยวกับคุณภาพสินค้าหรือบริการ  ข่าวสารที่สื่อผ่านโฆษณาหรือการประชาสัมพันธ์ต้องเป็นจริง ชัดเจน และเข้าใจง่าย

·         เห็นแก่ประโยชน์ลูกค้า แสดงความจริงใจ ไม่เห็นแก่กำไรมากเกินไป แสดงความปรารถนาดีโดยเต็มใจให้ข้อมูล เมื่อคุณไม่มีสินค้าที่ลูกค้าต้องการควรบอกเขาไปว่าสามารถหาซื้อของดังกล่าวได้ที่ไหน  ขณะเดียวกันก็ต้องเห็นค่าในข้อมูลต่างๆ ของลูกค้า  คงไม่มีลูกค้าคนไหนชอบใจถ้ารู้ว่าข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ งานอดิเรก ฯลฯ ที่เขาให้คุณมาถูกเอามาต้มยำทำแกงขายต่อให้คนอื่นๆ อีกที

·         อย่าผลักดันมากเกินไป การเร่งร้อนขายมากเกินไปจะทำให้ลูกค้าบางคนรู้สึกว่าถูกเร่งให้ตัดสินใจ และอาจเกิดผลในทางลบ  คุณควรให้ลูกค้ามีเวลาตัดสินใจและมีทางเลือกตามแบบของตน

·         ให้ความปลอดภัย ในสมัยก่อนลูกค้าคาดหวังว่าจะปลอดภัยเมื่อใช้สินค้า หรือเข้ามาใช้บริการในร้านคุณ แต่ในยุคดิจิตอลนี้ ลูกค้าย่อมต้องการความปลอดภัยเมื่อมีการให้ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต หรือจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตในการสั่งซื้อออนไลน์



ข้อ 2 เปี่ยมแรงบันดาลใจ


                แม้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าตนเองใช้เหตุผลในการซื้อสินค้า แต่ลึกๆ แล้วอารมณ์ยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ แบรนด์ดังหลายยี่ห้อเน้นสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ (Emotional bond) กับลูกค้า  โดยใช้แรงบันดาลใจช่วยทำให้สินค้าบริการธรรมดาๆ มีความหมาย และเป็นกุญแจสำคัญเข้าถึงจิตใจผู้บริโภค  โดยวิธีต่อไปนี้

·         จับใจ  หลายคนยอมรับว่า ไม่รู้ว่าแรงบันดาลใจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่างไร แต่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผูกพันและประทับใจสินค้าหรือบริการยี่ห้อนั้น เมื่อสินค้าหรือบริการใดมีแนวคิดพื้นฐานหรืออุดมการณ์จริงจัง สินค้ายี่ห้อนั้นจะแตกต่างจากสินค้าทั่วไปและจับใจผู้ซื้อได้ง่ายกว่า ทั้งนี้ผู้ผลิต หรือผู้ขายต้องเชื่อมั่นและแสดงออกอย่างแน่วแน่  นอกจากนี้ยังควรมุ่งจับใจคนทั้งครอบครัว เช่น วอลต์ดิสนีย์ที่ช่วยให้พ่อ แม่ ลูก แบ่งปันแรงบันดาลใจกันได้

·         จัดฉาก  Starbucks เป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุดในข้อนี้  การจัดร้านที่ดลใจให้ลิ้มลองรสกาแฟ และดึงดูดผู้คนเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากสภาพแวดล้อมธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน คือ การตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่ต้องการประสบการณ์และแรงบันดาลใจในโลกของกาแฟ  ถ้าคุณติดใจและรู้สึกกระปรี้กระเปร่าทุกครั้งที่เข้าร้านไนกี้ นั่นก็เป็นเพราะร้านนี้ประสบความสำเร็จในการจัดฉากให้คุณได้ท่องไปในโลกกีฬา แสดงด้วยภาพที่ชัดเจนจับต้องได้ ไม่ใช่แค่คำพูด เช่นการการขายเฟอร์นิเจอร์ที่จัดเป็นห้องหับต่างๆ ให้เห็นเป็นตัวอย่าง

·         จูงใจ  สนับสนุน กระตุ้นให้เกิดผลในด้านบวก หรือพัฒนาตัวเอง เช่น นิตยสาร Self ที่มีโปรแกรมฟิตร่างกายแบบต่อเนื่องให้ติดตามอ่านได้ตลอดทั้งปี

·         มีหัวใจ  ร่วมรับผิดชอบสังคมโดยให้ลูกค้าได้มีส่วนในการทำความดีนี้ด้วย เช่น สนับสนุนองค์กรเอกชนโดยให้ลูกค้าของคุณมีส่วนในโครงการบริจาคเงินที่หักจากรายได้ในการขายสินค้า  บริจาคสินค้าให้ผู้ขาดแคลน หรือยกทีมพนักงานไปบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม



ข้อ 3 ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น


                สินค้าหรือบริการที่อำนวยความสะดวกสบายย่อมถูกอกถูกใจมากกว่า คุณทำให้ชีวิตลูกค้าง่ายขึ้นได้โดย :

·         ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น  โดยให้ข้อเสนอที่ชัดเจน เข้าใจง่าย ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว คุณไม่ต้องส่งข้อเสนอมามากกว่าคู่แข่ง ขอแต่เป็นข้อเสนอที่ดีกว่าก็พอแล้ว  ถ้าจะให้ดีควรมีรายชื่อสินค้าแนะนำให้ด้วย เช่น 10 อันดับหนังสือขายดีในร้าน หรือ รายการสินค้าโปรโมชั่นพิเศษในช่วงนี้

·         ช่วยให้ซื้อได้ง่ายขึ้น  เช่น  มีบริการรับสั่งซื้อสินค้าทางโทรศัพท์ โทรสาร หรืออินเทอร์เน็ต จากนั้นจะมีบริการส่งสินค้า หรือนัดหมายให้ลูกค้าไปรับสินค้าจากศูนย์บริการในพื้นที่ก็แล้วแต่นโยบายของคุณ

·         รวดเร็วทันใจ  ของง่ายๆ ทำได้ในคลิกเดียว ย่อมดีกว่าต้องฝ่าฟันไปอีกหลายคลิก ดังนั้น ขั้นตอนการซื้อ หรือรับบริการ ที่ง่าย  ไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก และไม่ต้องรอคิวนานจึงถูกใจลูกค้าทุกคน แต่ถ้าต้องมีเหตุให้ลูกค้าต้องรอ คุณควรมีมาตรการอำนวยความสะดวก เช่น แทนที่จะให้ลูกค้าต้องรอคุณออกใบเสร็จ ควรออกใบเสร็จชั่วคราวให้ก่อน แล้วค่อยส่งใบจริงไปให้ หรือนัดให้ลูกค้าแวะมารับทีหลัง

·         ดูดีมีประโยชน์  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่า สินค้าหรือบริการที่เสนอให้มีมากแค่ไหน แต่สิ่งที่เสนอมาต้องมีประโยชน์และใช้ได้จริง  สิ่งที่เสนอมาใหม่ต้องไม่ทิ้งคุณสมบัติเดิมที่ลูกค้าชอบ ตัวอย่างมีให้เห็นในกรณี โค้กใหม่ โค้กรสชาติใหม่ล้มเหลว เพราะบริษัทโค้กลืมคิดไปว่าอาจมีลูกค้าที่ชอบรสชาติเก่ามากกว่า   ข้อสำคัญสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ควรให้ความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันกับของรุ่นเก่าด้วย



ข้อ 4 ให้ลูกค้ามีอำนาจ


                ลูกค้าทุกวันนี้ต้องการควบคุมทุกสิ่งในชีวิตของเขา ในการซื้อสินค้าหรือบริการเขาก็ต้องการอำนาจควบคุมสิ่งที่เขาเสียเงินซื้อมาเช่นกัน  อำนาจที่ลูกค้าต้องการคือ :

·         ได้เลือกวิธีของตัวเอง  ลูกค้าแต่ละคนมีวิธีของตัวเองในการเลือกซื้อสินค้า บางคนเลือกสี  บางคนเลือกปริมาณ บางคนเลือกคุณภาพ และบางคนเลือกแบรนด์  ลูกค้าบางคนชอบเดินดูทั่วๆ แล้วจึงตัดสินใจซื้อ ลูกค้าบางคนชอบดูให้ทั่ว ถามให้กระจ่าง กลับไปนอนคิด แล้วจึงกลับมาซื้อทีหลัง  หน้าที่ของคุณคือปล่อยให้เขาเลือกตามวิธีของเขา ไม่บีบคั้นมากเกินไป และให้ข้อมูลเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า 

·         ได้ลงมือเอง  สินค้าหรือบริการบางอย่างจะบริการได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ถ้าตัดขั้นตอนให้ลูกค้าบริการตัวเอง วิธีนี้ลูกค้าจะถูกใจที่ได้เลือกและลงมือเอง ดีกว่าต้องยืนแกร่วนานๆ รอพนักงานบริการให้

·         ควบคุมและเลือกรับข่าวสาร  เมื่อได้ที่อยู่ของลูกค้ามา อย่าด่วนใจเร็วรีบส่งแคตาล็อก หรือจดหมายชักชวนให้ซื้อสินค้า ควรให้ลูกค้าเป็นผู้เลือกว่าจะรับข้อมูลข่าวสารจากคุณแค่ไหน อย่างไร บ่อยแค่ไหน กระบวนการนี้ทำได้ตั้งแต่แรกเมื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูล คุณควรคัดและเลือกส่งข่าวสารที่คิดว่าลูกค้าต้องการ เพราะการส่งจดหมายไปโดยไม่คัดเลือก จะกลายเป็นจดหมายขยะที่ลูกค้าโยนทิ้งโดยไม่เปิดอ่านเลย นานเข้าก็อาจสร้างความรำคาญจนเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อบริษัทคุณไปเลยก็ได้

·         ควบคุมข้อมูลส่วนตัว  ลูกค้าควรมีสิทธิเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และควรมีสิทธิเลือกได้ว่าจะยอม หรือไม่ยอมให้คุณจัดการข้อมูลส่วนตัวของเขาอย่างไร นอกจากนี้ลูกค้ายังมีสิทธิเลือกได้ด้วยว่าจะให้ข้อมูลแก่คุณหรือไม่ จะสมัครสมาชิกหรือไม่ หรือเพียงแต่แวะเข้ามาซื้อสินค้าแบบลูกค้าขาจร



ข้อ 5 แนะแนวกันหน่อย


                แม้ในความต้องการข้อ 4 ลูกค้าอยากมีอำนาจควบคุมมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะดำเนินการซื้อขายทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว บางครั้งเขาก็ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ขายด้วยโดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมากจนล้น และมีตัวเลือกมากมายจนเลือกไม่ถูกอย่างนี้ ผู้ขายที่ช่วยแนะแนวได้เมื่อลูกค้าตัดสินใจไม่ถูกย่อมดีกว่า  หลักการแนะแนวคือ

·         เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า  เมื่อต้องตัดสินใจซื้อสิ่งของ หรือบริการบางอย่าง ลูกค้าหลายคนขาดความมั่นใจ ตัดสินใจไม่ได้เพราะเกรงว่าจะตัดสินใจผิดพลาด การแนะแนวที่ดีควรให้ข้อมูลที่ชัดเจน และทำให้ลูกค้ามั่นใจมากขึ้น

·         รู้จักสินค้าของตน  คนขายที่ดีควรรู้จักสินค้าของตนอย่างกระจ่าง เชื่อมั่นในข้อดีของสินค้า และภูมิใจนำเสนอแก่ลูกค้า

·         รับฟังเอาใจใส่   การตั้งใจรับฟังความคิดเห็น และให้คำแนะนำชนิดตัวต่อตัวช่วยให้ลูกค้ารู้สึกอุ่นใจและมั่นใจ

·         แนะแนวทางที่เหมาะสม  โดยให้ข้อมูลและความรู้ที่มีประโยชน์  สาธิตตัวอย่าง  ให้ทดลองสินค้า หรือแนะนำแหล่งข้อมูลที่เชี่ยวชาญ

·         ช่วยกรองข้อมูล  ข้อมูลของคุณอาจมีมากจนล้น ลูกค้าจะขอบคุณอย่างยิ่งถ้าคุณช่วยคัดเอาแต่ข้อมูลที่สำคัญ  ถ้ามีข้อมูลตัวเลขหรือสถิติต่างควรทำให้เข้าใจง่ายขึ้นโดยนำเสนอแผนภูมิ หรือแผนภาพที่วิเคราะห์หรือตีความแล้ว

·         เข้าถึงความต้องการ คุณควรแนะนำตัวเลือกที่เหมาะสมให้ลูกค้าได้ ให้เขาไม่ตกยุค และยังมองต่อไปถึงอนาคต  คุณควรมีสำเนาเอกสารข้อมูลทั้งหมดให้ลูกค้านำกลับไปศึกษาต่อเองที่บ้านด้วย



ข้อ 6 “24 คูณ 7”


                ความต้องการของลูกค้าไม่มีวันสิ้นสุด  คุณควรสามารถบริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน ตลอด 7 วัน ในหนึ่งสัปดาห์ โดยขจัดสิ่งกีดขวางเรื่องเวลาทิ้งไป ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เช่น ระบบโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ต  ให้ลูกค้าสามารถติดต่อ ขอข้อมูล หรือสั่งซื้อสินค้าได้จากทุกที่ ทุกเวลาที่ต้องการ รวมทั้งมีบริการส่งสินค้าถึงที่ และลูกค้าสามารถตรวสอบสถานการณ์จองสินค้าของตนได้ด้วย



ข้อ 7 รู้จักลูกค้าของคุณ


                ลูกค้าทุกคนอยากเป็นคนสำคัญ แสดงให้เขารู้ว่าคุณรู้จักเขาดีหลักการต่อไปนี้

·         ปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างปัจเจกบุคคล   ให้เขารู้สึกว่ามีความสำคัญและคุณจดจำเขาได้

·         ศึกษาพฤติกรรมลูกค้าเป็นประจำเพื่อให้เข้าใจเขามากขึ้น

·         สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อของเขาโดยสรุป

·         ใช้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าให้เป็นประโยชน์ในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์ เช่น การส่งข้อมูลกิจกรรมส่งเสริมการขายมาโดยระบุชื่อ ที่อยู่ถูกต้อง ขึ้นต้นจดหมายด้วยชื่อของลูกค้า และจัดส่งเฉพาะข้อมูลที่ลูกค้าสนใจ

·         ดูแลให้ไม่มีความสัมพันธ์ซ้ำซ้อน จริงอยู่ที่บริษัทคุณอาจมีสินค้าหลายประเภท หลายสายผลิตภัณฑ์ แต่เมื่อลูกค้าคิดว่าคุณคือแบรนด์หนึ่งแบรนด์ เขาย่อมคาดหวังให้คุณคิดว่าเขาเป็นลูกค้าคนหนึ่งที่ซื้อสินค้าไปหลายชิ้น ดังนั้น จึงต้องระวังอย่าให้มีการเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน จะทำให้เกิดความผิดพลาด เช่น ลูกค้าคนเดียวกันได้รับจดหมายหรือแคตาล็อกชุดเดียวกัน 20 ฉบับ

 


ข้อ 8  Surprise !


                เซอร์ไพรส์คืออาการดีอกดีใจ ประหลาดใจ เพราะได้สิ่งดีดีเกินกว่าที่คาดหวังไว้ ทำให้ลูกค้าของคุณเซอร์ไพรส์ แล้วเขาจะอุดหนุนคุณไปตลอดชีวิต  สิ่งเกินคาดหวังเกิดขึ้นได้จากกรณีต่อไปนี้

·         ชดเชยอย่างคุ้มค่า  ถ้าสินค้าหรือบริการของคุณมีข้อด้อย หรือจุดอ่อนกว่าคู่แข่ง หาข้อชดเชยที่ดีเยี่ยมกว่าระดับทั่วไป เช่น  ถ้าโรงแรมคุณอยู่ไกล ไปมาไม่สะดวก คุณต้องชดเชยด้วยบริการดีกว่าระดับมาตรฐาน และใช้ของดีมีคุณภาพจนลูกค้าชื่นชม

·         ทำเกินหน้าที่  สิ่งเล็กๆ น้อยแต่สร้างความประทับใจได้คือการบริการอย่างจริงใจ ไมใช่แค่ทำไปตามหน้าที่ เช่น ตอบอีเมล์ลูกค้าภายในหนึ่งชั่วโมง พร้อมให้รายละเอียดตามที่ขอไป ไม่ใช่แค่ตอบกลับมาตามแบบฟอร์มของบริษัท

·         ให้มากเกินความคาดหวัง เช่น แทนที่จะส่งแต่การ์ดอวยพรวันเกิด อาจเป็นบัตรรับประทานอาหาร หรือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไปให้

·         รู้จักรับผิดและแก้ไขข้อผิดพลาด  การยอมรับผิดจะบรรเทาความโกรธของลูกค้า แต่การรีบแก้ไขข้อผิดพลาดทันทีจะทำให้ลูกค้าประทับใจ



ข้อ 9 ให้รางวัลลูกค้าดีเด่น


                การเป็นลูกค้าผู้ภักดีควรได้รับรางวัล คุณให้รางวัลลูกค้าได้หลายแบบ เช่น :

·         จัดโปรแกรมสมนาคุณลูกค้าตามปริมาณการซื้อ

·         ให้สิทธิพิเศษแก่สมาชิก และเพิ่ม Added value แก่สินค้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์

·         แสดงให้ลูกค้าเห็นว่า คุณรู้ว่าเขาภักดีแค่ไหนโดยการเลื่อนระดับให้เป็นระยะๆ

·         ถ้าร้านของคุณ หรือสินค้าของคุณวางจำหน่ายทั่วไป ควรดูให้แน่ใจว่าลูกค้าสามารถรับรางวัลที่ไหน สาขาใดก็ได้

·         รางวัลที่ให้ลูกค้าควรดูมีคุณค่าสมกับความเป็นลูกค้าที่ดีมานาน



ข้อ 10 คอยอยู่เคียงข้าง


                ความสัมพันธ์ควรยืนยาวผ่านกาลเวลา คุณจะรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าไว้ได้ถ้ายึดหลักการต่อไปนี้

·         ให้ความมั่นใจ  เป็นกำลังใจและช่วยให้ความมั่นใจแก่ลูกค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ทันทีที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อต้องรีบให้เครดิตหรือรางวัลทันที

·         รักษาคำพูด  ไม่ว่าจะรับประกันคุณภาพ หรือรับประกันแลก เปลี่ยน หรือคืนสินค้าได้ ต้องจัดการให้ได้ตามคำสัญญา

·         แสดงจุดยืนแน่ชัด โดยให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการยกเลิกสั่งซื้อ การสั่งจ่ายเงิน และกระบวนการสั่งซื้อสินค้า ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด ที่อาจทำให้ความสัมพันธ์จบสิ้นลง

·         พร้อมให้ข้อมูลข่าวสาร รับคำร้องเรียน และคอยแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าตลอดเวลา ต้องนำคำร้องเรียน และข้อมูลที่ลูกค้าส่งมา เป็นพื้นฐานในการปรับปรุงสินค้าและบริการ เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่า ข้อมูล หรือคำร้องเรียนของเขามีความสำคัญและได้รับความสนใจ

 


                ลูกค้ามีความสำคัญเพราะมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายธุรกิจของคุณ  อย่ามองพวกเขาเป็นแค่แหล่งรายได้ที่ต้องไล่ล่ามาเป็นเจ้าของ  จงรับฟังความต้องการของเขาและปฏิบัติต่อเขาเหมือนเพื่อน  คู่คิด  และคู่ค้าที่ต้องเกื้อหนุนและก้าวเดินไปด้วยกัน

อ้างอิง
http://www.marketeer.co.th/inside_detail.php?inside_id=1798

10 อันดับที่สุดยอดในโลกทั้งในเรื่อง ดารา เพลงฮิต


10 อันดับที่สุดยอดในโลกทั้งในเรื่อง ดารา เพลงฮิต 




1. SAN FRANCISCO


Quirky shop front decoration, Haight Street, The Haight.


2. AMSTERDAM



3. HYDERABAD



4. LONDONDERRY/DERRY


5. BĚIJĪNG



6. CHRISTCHURCH



7. HOBART



8. MONTRÉAL


9. ADDIS ABABA



10. PUERTO IGUAZÚ

Iguazú Falls




อ้างอิงhttp://thaitopten.blogspot.com/

10 อันดับบุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก


10 อันดับบุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก




บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก อันดับ 10 Monsieur Chouchani
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลกฉลากสินค้า
Chouchani (??-ตาย 1968) เป็นชื่อเล่นของอาจารย์ชาวยิว ที่ไม่มีใครรู้ชื่อจริงและชาติกำเนิดลึกลับ เป็นอาจารย์สอนนักเรียนระดับสูงของยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และลูกศิษย์ที่ได้รับคำสอนจากอาจารย์ท่านนี้ล้วนมีชีวิตและการงานที่ใหญ่โต ในอนาคต ที่ดังๆ ก็เช่น Emmanual Levinas(นักปรัชญา และนักการศึกษา ชาวฝรั่งเศสที่เกิดในประเทศรัสเซีย นับถือศาสนายิว) และ Elis Wiesel (เอลี วีเซล ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขา สันติภาพ ประจำปี 1986) หากแต่ชีวิตของอาจารย์ท่านนี้ลึกลับอย่างยิ่ง ทางการได้เก็บประวัติอาจารย์ท่านนี้ชนิดเรียกว่าลับสุดยอด ทำให้หลายคนเรียกชื่ออาจารย์คนนี้หลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ “shushani” ซึ่งหมายความว่าคนจาก Shushan(เมือง หนึ่งแถวๆ ทางใต้ของจีน) หรือชื่อจริงจะเป็น Hillel Perlmann
สิ่งที่รู้เกี่ยวกับตัว Chouchani บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
  • เขาปรากฏตัวครั้งแรกที่ปารีสในสงครามโลกครั้งที่ 2
  • เขาเป็นอาจารย์ในช่วง 1947
  • ปี 1952 มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาหายตัวไปอย่างลึกลับ
  • หลังจากนั้นก็มีข่าวของเขาไปตามที่ต่างๆ บั้นปลายสุดท้ายของเขาเลือกอาศัยอยู่ที่อุรุกวัยก่อนเสียชีวิตลงในปี 1968
แม้ไม่มีใครรู้ชาติกำเนิดของเขาและทำไมทางการถึงได้ปกปิดอย่างลับ สุดยอด แต่ Chouchani ได้ทิ้งหลักการมรดกทางปัญญาหลายๆ อย่างแก่ลูกศิษย์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และปรัชญา ซึ่งส่งผลต่อสาขาวิชาอื่นๆ ในเวลาต่อมา
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก  อันดับ 9 The Poe Toaster 
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
เอ็ด การ์ อัลเลน โป(วันที่ 19 ม.ค. 1809 -เสียชีวิต ต.ค. ปี 1849) เป็นนักเขียนชาวสหรัฐฯ ที่ถูกขนานนามว่าเป็น บิดาแห่งวรรณกรรมรหัสคดี (Mystery) จากเรื่องสั้น “คดีฆาตกรรมที่ถนนมอร์ก” (The Murders in the Rue Morgue) กลายเป็นต้นแบบของ นวนิยายนักสืบ ใน เวลาต่อมา ชีวิตบั้นปลายของโปนั้นค่อนข้างลึกลับ แม้กระทั่งตอนเสียชีวิต โป มีอาการเพ้อแปลกๆ ไม่สามารถควบคุมตนเอง เสื้อที่เขาใส่ก็ไม่ใช่ของตัวเขาเอง และคืนก่อนเสียชีวิตเขายังเพ้อถึงชื่อ “เรย์โนลด์” ซ้ำๆ หลายคนจนเสียชีวิต ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่า “เรย์โนลด์” ที่เขาเอ่ยถึงคือใครกันแน่?
แต่เรื่องราวความ ลึกลับของโปยังไม่จบ เพราะหลังจากการเสียชีวิตของโป ที่หลุมฝังศพของเขาในบัลติมอร์ (สุสานเวสต์มินสเตอร์ที่มุมถนนฟาเย็ตต์ตัดกับ ถนนกรีนนี่ ในบัลติเมอร์ตะวันตก) ก็เริ่มมีคนลึกลับ สวมชุดดำ ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมมีผ้าพันคอปิดปากปิดจมูก สวมห มวกสักหลาด ถือไม้เท้า เดินเข้าไปที่ป้ายหลุมศพของ โป ในทุก ๆ วันครบรอบวันเกิดของเขา และจะดื่มคอนยัคบรั่นดีหนึ่งขวดเพื่อคารวะก่อนจะวางขวดคอนยัคที่เหลือ เครื่องดื่มไว้ครึ่งขวด พร้อมดอกกุหลาบแดง 3 ดอก ไว้หน้าป้ายหลุมศพโดยบางครั้งก็มีการทิ้งโน้ตเอาไว้ด้วย
บุคคลปริศนา ผู้นี้ ถูกเรียกว่า ‘ผู้ดื่มคารวะแก่โป’ (Poe Toaster) เขาไปที่หลุมศพของโปเพื่อทำแบบเดียวกันทุก ๆ ปี ตั้งแต่ปี 1949 จนกระทั่งถึงถึงปี 1993 ไม่มีขาด การมาของเขาจะอยู่ในช่วงช่วงเที่ยงคืนถึงตี 5 ในวันที่ 14 มกราคม 1983 มีการจัดงานชุมนุมแฟนของโปกว่า 70 คน เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบที่ 174 ของโป และพอถึงเวลาตีหนึ่งครึ่งบรรดาคนในงานเหล่านั้นต่างตระหนกตกใจไปตามๆ กัน เมื่อแลเห็นร่างของชายคนหนึ่งพุ่งเลาะไปตามริมรั้วสุสานด้านทิศตะวันออก ชายเสื้อคลุมยาวของเขาปลิวไสว เขามีผมสีทอง ถือไม้เท้าหัวเลี่ยมทองเหมือนโปชอบใช้ และเมื่อเขาจากไปก็พบขวดบรั่นดีและดอกกุหลาบวางอยู่
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
ต่อมาผู้ดื่มคารวะแก่โป ก็ทิ้งโน้ตเอาไว้ว่า “คบเพลิงจะถูกส่งต่อ ” ทำให้เชื่อว่าผู้ดื่มคารวะแก่โปกำลังจะเสียชีวิต จนในปี 1999 ก็มีโน้ตวางไว้ยืนยันว่าผู้ดื่ม คารวะโปคนเก่าเสียชีวิตแล้ว และมีผู้ดื่มคารวะโปคนต่อไปมาสืบทอด
ไม่ว่าชายคนนั้นจะเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ เขาจะต้องเป็นแฟนหนังสือตัวยงของโปแน่นอน มีผู้ที่สนใจเรื่องนี้พยายามเข้ามาสืบว่าตัวจริงของผู้ดื่มคารวะโปคือใคร หลายคนพยายามจะจับตาดูและพยายามดักจับ หากแต่พวกแฟนของโปและผู้เกี่ยวข้องไม่ต้องการให้ผู้ชายคนนั้นถูกเปิดเผยและ พยายามใช้มาตรการป้องกันคนไปรบกวนผู้มาเคาระศพยามวิกาลและปฏิเสธคำให้ สัมภาษณ์เกี่ยวกับชายคนนั้นทั้งหมด ทำให้จนบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนั้นคือใครกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณเพราะเคยเห็นเขาลอยละล่องกลางอากาศมาแล้ว หรืออาจเป็นผีของโปเอง หรือจะเป็นฝีมือของคนขี้แกล้ง หรือจะเป็นคนที่ชื่อ “เรย์โนลด์” ที่โปเพ้อก่อนตายกันแน่??
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก  อันดับ 8 Babushka Lady
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
ระหว่างที่มีการวิเคราะห์วีดีโอเหตุการณ์ลอบสังหาร จอห์น เอฟ เคนนาดี ใน ปี 1963 ก็เกิดเรื่องน่าสนใจและ เรื่องลึกลับ ขึ้น ฉลากสินค้า เมื่อมีภาพหนึ่งจับภาพฝูงคนที่อยู่ใกล้ๆ รถที่เคนนาดี้โดนยิง มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อกันหนาวและผ้าพันคอสีน้ำตาลชมพูอยู่บนหัวของเธอ (ผ้าพันคอกลายเป็นสาเหตุเรียกชื่อเธอ ซึ่งการการใช้ผ้าคลุมคลุมที่หัวจะเหมือนการแต่งกายของหญิงรัสเซีย grandmothers เรียก ว่า babushkas) ซึ่งลักษณะท่าทางของเธอเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังจับกล้อง(หรือวีดีโอ)บันทึกภาพ เหตุการณ์ที่ จอห์น เอฟ เคนนาดี้ โดนยิงที่หัวแบบจะๆ และคาดว่าภาพที่เธอจับนั้นจะเป็นภาพวินาทีสังหารเคนนาดี้ที่ชัดมากกว่าของ ใคร ทั้งหมด แต่แล้วเธอก็หายตัวไปอย่างลึกลับท่ามกลางฝูงชนที่หนีออกจากสถานที่เกิดเหตุ มีพยายบอกว่าเธอหนีไปทางตะวันออก พวกผู้เกี่ยวข้องและ FBI พยายามสืบและตามหาตัวเธอเพื่อขอหลักฐานนี้มาประกอบคดี หากจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพบตัวเธอเลย และหลักฐานที่เธอได้นั้นไม่รู้ว่าจะสำคัญพอที่จะพลิกคดีจนเขย่าโลกได้หรือ ไม่?
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
ทำไม หญิงคนนี้ถึงไม่ปรากฏตัว? ทำไมเธอถึงไม่มอบ หลักฐานนี้ให้ทางการ? มีข้อสันนิษฐานว่าเธออาจถูกเก็บโดยผู้สมคบคิดเพราะเธอมีหลักฐานพลิกโลก ในปี 1970 มีคนอ้างว่าเป็น เลดี้ Babushka ที่ชื่อ Lolita Davidovich หากแต่ต่อมาเธอก็รับสารภาพว่าโกหก จนบัดนี้ปริศนานี้ก็ไม่ได้ไขแต่อย่างใด
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก  อันดับ 7 Kaspar Hauser 
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
คาสปาร์ เฮาเซ็นต์ [ (เกิด 30 เมษายน 1812 ?) - ตาย 17 ธันวาคม (อายุ 21 ?) ] เด็กหนุ่มผู้มีชาติ กำเนิดเป็นปริศนาและตายลงอย่างลึกลับ เรื่องของเขาเป็นปริศนาพิศวงที่เป็นตำนานเล่าขานของเยอรมันมานาน เรื่องของ เรื่องเช้าวันหนึ่งในเดือน พฤษภาคม 1828 ได้มี เด็กหนุ่มอายุ 16 ปีปรากฏตัวกลางเมืองเข้า เด็กหนุ่มผู้นี้มีท่าทางงุนงง ตื่นตระหนกและแต่งตัวบอนๆ เดินเข้าไปในนูเร็มเบิร์ก ประเทศเยอรมัน ใครถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง แต่ในมือเขามีจดหมายที่จ่าหน้าถึงผู้บังคับบัญชากองร้อยที่ 4 แห่งกองพันทหารม้าที่ 6 จดหมายมี 2 ฉบับ โดยฉบับที่ 1 เขียนไว้ว่า
“กระผมส่งเด็กผู้ปรารถนาจะรับใช้ชาติการเป็นทหารมาให้ท่าน เขาถูกทิ้งที่บ้านผมตั้งแต่ยังเป็นทารก กระผมมีลูกของตัวเองที่ต้องเลียงดูถึง 10 คน และไม่อาจดูแลเขาได้อีกต่อไป หากท่านไม่ต้องการเขาก็ฆ่าหรือแขวนคอเขาก็แล้วกัน”
จดหมายอีกฉบับลงในปี 1812 คนเขียนอาจเป็นมารดา แท้ๆ ของเด็กหนุ่มผู้นั้น เขียนไว้ว่า
“ดูแลลูกดิฉันด้วย พ่อของเขาอยู่กองพันทหารม้าที่ 6″
แต่ ถึงอย่างไรผู้บังคับการกองร้อยที่ 4 ที่เป็นผู้รับจดหมายกับไม่เชื่อถืออะไรกับจดหมายนั้น จึงส่งเด็กหนุ่มไปให้ตำรวจและถูกจับส่งเข้าคุกในฐานะคนจรจัด ในระหว่างเขาถูกคุมขัง ผู้คุมสั งเกตว่าเขาสามารถอยู่นิ่งๆ เป็นเวลานานๆ ชอบอยู่ในที่มืดๆ และเคลื่อนไหวในความมืดได้ดี เขารักในการเล่นม้าไม้ ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ขนมปังและน้ำ เมื่อส่งกระดาษให้เขาจะเขียนคำว่า“ทหารม้า” กับ “คาส ปาร์ เฮาเซอร์” ซึ่งสันนิฐานว่านี้คงเป็นชื่อและนามสกุลเขา กิริยาคล้ายเด็กหัดเดิน และมองสิ่งรอบตัวก็เหมือนเป็นของแปลกใหม่ทุกอย่าง ผู้คุมชอบจึงสอนให้เขาฝึกพูด และเขียน
ภายใน 6 สัปดาห์ออกมาเขาก็สามารถ เล่าเรื่องราวชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ได้ เขาเล่าว่าตั้งแต่จำความได้ก็ถูกขังในที่ห้องมืดๆ ทั้งวัน มีแต่ม้าไม้และหุ่นไม้เป็นของเล่น และไม่เคยเห็นใครหรือได้ยินใครกับใครมาก่อนเลย เมื่อเขาตื่นมาก็มีขนมปังกับน้ำมาวางไว้ให้ บางครั้ง น้ำก็มีรสเฝื่อนๆ และบางครั้งเมื่อเขาหลับและตื่นขึ้นมาก็พบว่าผมเผ้าและเล็บก็ถูกเล็มเรียบ ร้อย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ได้ติดต่อคนอื่น เมื่อมีมือยื่นออกมาห้องขังพร้อมกระดาษและปากกาและสอนให้เขาเขียนสองคำคือ ทหารม้าและ คาสปาร์ เฮาเซอร์ และต่อมาก็พบว่าตัวเองกะโผลกกระเผลกอยู่ในเมืองนูเร็มเบิร์ก
และแล้วเรื่องเล่าของคาร์ปาร์ก็ก่อให้เกิดความฮือฮาขนานใหญ่ในหมู่ชาว เมืองนูเร็มเบิร์ก มีการประกาศหาเบาะแสของเขาอย่างกว้างขวาง แต่ไม่มีใครสามารถหาข้อมูลอะไรได้เลย มีแต่ข่าวลือบางก็ว่าคาสปาร์เป็นลูกของซาตานบ้าง มาจากต่างดาวบ้าง บ้างก็เชื่อว่าเขาอาจมีเชื้อพระวงค์
และแล้วก็เกิดเหตุลึกลับขึ้นเมื่อเคา สปาร์ถูกปล่อยตัวจากที่คุมขัง เขาได้ไปอยู่กับกับ ศาสตราจารย์ จอร์จ ดอร์เมอร์ เขาพยายามสอนให้เขามีความรู้กว้างขวาง แต่แล้ววันวันหนึ่งเรื่องลึกลับก็เกิดเมื่อดอร์เมอร์กลับมาบ้านมา พบ ว่าคาสปาร์นอนจมกองเลือดอยู่ที่ห้องใต้ทุนบ้าน โดยมีบาดแผลที่หน้าและลำคอ แต่ไม่ถึงตาย เมื่อคาร์ปาร์ได้สติเขาเล่าว่าถูกชายสวมหน้ากากคนหนึ่งเข้ามาในบ้านและทำ ร้ายเขา จนข่าวลือนี้แพร่สะพัดจนชาวบ้านลือว่าพระญาติที่ขึ้นครองบัลลังก์บาเดนอาจ จ้างนักฆ่ามาเพื่อกำจัดรัชทายาทที่แท้จริง กระนั้นยังมีหลายคนคิดว่าคาสปาร์เป็นจอมโกหก เขาอาจสร้างเรื่องที่ถูกทำร้ายเพื่อเรียกร้องความสนใจ
ต่อมาลอร์คสแตนโฮปเกิดรู้สึกสนใจเรื่องราวของเด็กหนุ่มนี้ขึ้นมา และขอรับเป็นผู้ดูแลคาสปาร์ เขาพาคาสปาร์เดินทางตามราชสำนักเล็กๆ ในยุโรป ทั้งยังพยายามพิสูจน์ว่า คาสปาร์เป็นลูกของผู้ดี แต่ความพยายามของเขากลับล้มเหลว และเขาก็เริ่มหมดความสนใจต่อตัวคาสปาร์แล้ว จึงทิ้งเด็กนี้ไว้ให้กับ โจฮันน์ เมเยอร์ ครูสอนศาสนาใจแคบ ที่เมืองอังสบาคใกล้ๆ นูเร็มเบิร์กเป็นผู้ดูแล โดยในขณะนั้นคาลปาร์อายุ 21 ปีแล้ว และเริ่มทำงานเป็นเด็กฝึกหัดเข้าปกหนังสือ
เย็นวันที่ 14 ธันวาคม 1833 คาสปาร์วิ่งพรวดพราดกลับ บ้านของเมเยอร์โดยมีบาดแผลถูกแทงที่หน้าอกด้านซ้าย เขาบอกว่าถูกชายคนหนึ่งแทงขณะที่เขากำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ แต่ไม่มีใครเชื่อเขา หาว่าเขากุเรื่องขึ้นและทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจเหมือนครั้งที่ แล้ว ซึ่งกว่าเมเยอร์จะเชื่อและเรียกหมอก็สายเกินไปแล้ว เพราะ อีกสามวันต่อมาคาสปาร์ก็ได้เสียชีวิตลงเพราะถูกแทงที่ท้อง เขานอนตายที่สวนสาธารณะ ใน ที่เกิดเหตุนั้น ตำรวจพบกระเป๋าเงินใบหนึ่ง ภายในมีกระดาษเขียนข้อความด้วยตัวอักษรกลับด้านที่ต้องใช้กระจกส่องอ่าน มันเขียนไว้ว่า
“คาสปาร์จะบอกให้ว่าผมคือใคร ผมอยู่ที่หมู่บ้าน………………….. ชายแดนบาวาเรีย ผมชื่อ MLO”
และผลสุดท้ายตำรวจไม่ทราบคนที่เข้ามาแทง คาสปาร์ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน คดีนี้จึงไขปริศนาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนศพของตาร์ปาสเขาถูกฝังที่สุสานเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อังสปาคพร้อมปริศนาอีกมากมายในตัวเขาที่ไขไม่ออกจนถึงทุกวันนี้
เรื่องราวของคาสปาร์ยังคงเป็นปริศนาที่ถกถียงกันอย่างไม่สิ้นสุด เป็นเวลานาน จนถึงปัจจุบันได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่และหลักฐานในประวัติศาสตร์มาแก้ไขใน ปริศนา แต่หลายฝ่ายไม่ยอมรับเพราะมันส่งผลทำให้ปริศนาที่จุดประกายของจินตนาการถูก ทำลาย และส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยวของคาสปาร์ได้ ซึ่งหลังจากนั้นมาก็ไม่มีการพิสูจน์ใดๆ เกี่ยวกับชาติกำเนิดของคาสปาร์อีก ทำให้จนบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ มกุฏราชกุมารแห่งบาเดนหรือเด็กช่างโกหกเพ้อเจ้อธรรมดาๆ………………..
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก อันดับ 6 Fulcanelli
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
Fulcanelli (1839-1953??) เป็นนามแฝงของ นักเล่นแร่แปรธาตุ ชาว ฝรั่งเศสผู้ลึกลับ ในศวรรษที่ 19 ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของเขา แต่ผลงานของเขานั้นล้วนแต่สร้างความน่าอัศจรรย์ใจต่อผู้พบเห็น โดยเฉพาะผลงานที่เขาอ้างว่าเขาสามารถแปรธาตุ(ตะกั่ว 100 กรัม )กลายเป็นทองคำได้โดยใช้ “ผงสูตรวิเศษลับ” ของเขาโปรยให้เป็นทองต่อหน้า Julien Champagne และ Gaston Sauvage
อีกหนึ่งผลงานที่น่าพิศวงไม่แพ้กันคือ คือเขาได้อธิบายหลักการ เทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งตอนนั้น Fulcanelli ได้พบนักฟิสิกส์ปรมาณูชาวฝรั่งเศส เขาได้ให้รายละเอียดที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิวเคลียร์ อีกทั้งเขายังอธิบายเสริมว่าอีกไม่นานมนุษย์จะสามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์เช่น นี้ได้
สิ่งที่รู้เกี่ยวกับนักแปรธาตุคน นี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย สิ่งที่พอรู้ประวัติเขาคือจากคำบอกเล่าของลูกศิษย์เท่านั้น และในปี 1953 เขาเกิดหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนกันแน่ บ้างบอกว่าเขาไปสเปนไปยังปราสาทสูงๆ เพื่อนัดพบนายเก่าของเขา หรือเขาอาจยังมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 114 ปี หรืออาจเป็นอมตะเลยก็เป็นได้
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก อันดับ 5 D. B. Cooper
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
ดี บี คูเปอร์ ไม่ใช้ชื่อยี่ห้อเหล้าที่ไหน แต่เป็นนามแฝงสลัดอากาศเครื่องบินผู้โด่งดัง (FBI เรียกเขา ว่า Norjak)เรื่องเกิดขึ้นในสมัยสายการบินที่ไม่มี การจับเอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสาร และไม่มีการทำประวัติผู้โดยสาร
เมื่อ 24 พฤศจิกายน 1971 ที่เครื่องบินโบอิ้ง 727 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสลัดอากาศคนหนึ่งเลยตนเองว่า ดี บี คูเปอร์ ได้ยึดเครื่องบินพร้อมกับผู้โดยสารไว้เป็นตัวประกันบนลานบิน เขาเรียกร้องเงิน 200,000 ดอลลาร์พร้อมกับร่มชูชีพ เขาได้ไปทั้งสองอย่างที่ต้องการ และเขาได้สั่งนักบินนำเครื่องบินขึ้นกว่าที่นักบินจะนำเครื่องบินลงจอด ชายคนนั้นก็หายกลีบเมฆไปเสียแล้ว โดยเขาโดดร่มสู่ท้องฟ้าครึ้มพายุที่ความสูง 10,000 ฟุต หายไปตรงที่ใดที่หนึ่งแถบภาคกลางด้านตะวันตกของสหรัฐอย่างลอยนวล
แม้การปฏิบัติการที่บ้าบิ่นจะทำให้โจรรายนี้หายสาบสูญไป แต่ผู้คนก็ยังคงติตตาม ดี บี คูเปอร์ ที่ คาดว่าเขาและเงินค่าไถ่ยังคงอยู่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมา 9 ปี เด็กอายุแปดปีพบ เงิน 5,800 เหรียญ ในสภาพฝังอยู่ในสันทรายกลางแม่น้ำโคลัมเบียซึ่งจากหมายเลขธนบัตรและระบุตรง ฉลากสินค้า กับเงินค่าไถ่ของสลัดอากาศไม่มีผิดและล่าสุดในปี 2008 มีการพบร่มชูชีพที่ดี บี คูเปอร์ใช้ในเมืองเอ็บเบอร์ แต่ตัวสลัดอากาศ ดี บี คูเปอร์ นั้น จนบัดนี้ยังไม่พบตัว มีข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าบางทีเขาอาจจะตายจากเหตุการณ์กระโดดร่มไปแล้วก็ได้ หรือบางทีเขาอาจเคยเป็นทหารที่มีประสบการณ์โดดร่ม แต่จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขาหน้าที่แท้จริง ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือบางทีเขาอาจมีชีวิตที่สุขสบายไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ก็เป็นไปได้
เรื่องราวของ ดี บี คูเปอร์ ส่งผลให้สายการบินจัดระเบียบใหม่และเริ่มมีการใช้เอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสารในที่สุด
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก อันดับ 4 Comte St Germain
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน เป็น ที่ปรึกษาราชการของกษัตริย์หลายพระองค์ในฝรั่งเศส เป็นชายหนุ่มที่เจนจัดสังคม และมีชื่อเสียงมาก นอกจากนี้ยังเป็นคนฉลาดที่หาตัวจับยากอีกด้วย เนื่องจากเขามีความรู้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นักประดิษฐ์, นักวิทยาศาสตร์, นักเล่นไวโอลิน, นักแต่งเพลง. นักการเมือง จนถึงขนามนามว่า “Wonderman” แต่ทว่าเรื่องราวประวัติของเคาท์ เซนต์ เกอร์แมน นั้นยังคงเป็นปริศนาดำมืด และน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า เขาเกิดที่ไหน เมื่อไร หรือตายเมื่อใด บางคนบอกว่าเขาคือทายาทที่แท้จริงในการสืบทอดราชบัลลังก์ของอังกฤษ, บุตรของกษัตริย์โปตุเกส, หรือลูกนอกสมรสของคนในราชวงค์พระองค์หนึ่ง
เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน เริ่ม ปรากฏตัวในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 23 โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ของฝรั่งเศส และยังเป้นที่ไม่ไว้วางใจของบรรดาราชบริพารในสมัยนั้น เนื่องจากเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหลุยส์อย่างมาก ในเวลาต่อมาเขาโดนจับขังคุกด้วยเรื่องการเมือง จึงหนีไปอังกฤษ และเสียชีวิตลงเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ ปี 1784
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก อันดับ 3 The Man in The Iron Mask
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก ความจริงเรื่อง ชายหน้ากากเหล็ก นั้น เป็นวรรณกรรมอมตะของนักเขียนชาวฝรั่งเศสนาม อเล็กซองด์ ดูมาส์ เขียนขึ้นเมื่อปี 1848 ถูกนำไป สร้างภาพยนตร์หลายครั้งแล้วโดยเรื่องนี้มีเค้าโครงจากเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
ใน ปี 1703 มีชาย ลึกลับคนหนึ่งเสียชีวิตในคุกบาสตีล หลังถูกจองจำมาอย่างยาวนานถึง 34 ปี และเอกลักษณ์ซึ่งผู้พบเห็นเขาไม่มีวันลืมเลยคือใบหน้าเขาถูกคลุมด้วยหน้ากาก มีจดหมายที่เจ้าหญิงแห่งฝรั่งเศสเขียนถึงพระสหายในอังกฤษว่า “มีชายผู้หนึ่งสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดถูกจองจำ มาบัดนี้เขาสิ้นชีวิตลงแล้ว ขณะที่เขาถูกจองจำอยู่นั้นทหารองครักษ์สองคนคอยเฝ้าอยู่มิห่างตา และขู่ว่าจะสังหารเขาทันทีที่เขาถอดหน้ากากออก แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังแน่ เพราะว่าเขาจะถูกขังคุก แต่เขาก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีเป็นพิเศษ ………….”
เขาคือใคร?
จากประวัติที่สืบสาวกันมา เริ่มขึ้นเมื่อปี 1669 ที่เมืองท่าดันเคิร์ก ทางตอนเหนือฝรั่งเศส เมื่อมีข้ารับใช้กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 ได้จับกุมชายนิรนามคนหนึ่งแล้วถูกนำตัวส่งเข้าคุกลับแห่งปิกเนรอล นครตูลิน ประเทศตาลี(สมัยก่อนเมืองนี้เคยเป็นของฝรั่งเศส) ซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
เมอซิเออร์ แซงต์ มาร์ ผู้คุมสูงสุดแห่งคุกแห่งนี้ได้รับข้อความทำนองที่ว่า “นักโทษผู้นี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้บอกเรื่อง ราวใดๆ ของตัวเองแก่ผู้อื่นเด็ดขาด เจ้าจะต้องไปหาเขาวันละหนึ่งครั้งเพื่อจัดการเรื่องอาหารและเรื่องสัพเหระใน ชีวิตประจำวันแก่เขา และจงอย่ารับฟังคำใดๆ ที่นักโทษผู้นี้พยายามบอกหากนักโทษยังไม่เลิกราที่จะเล่าเรื่องไร้สาระ เกี่ยวกับตัวเอขาละก็ จงมอบความตายแก่เขาเสีย”
  • หลัง จากนั้นไม่กี่ปี แซงต์ มาร์ ก็ถูกย้ายไปอยู่คุกที่อื่น แต่ยังรับมอบหมายให้ย้ายนักโทษลึกลับนี้ไปอยู่ด้วยกันเสมอ และการย้ายแต่ละครั้ง เขาต้องอยู่ ที่เกี๊ยวที่ปิดมิดชิดกันการสอดรู้สอดเห็นของผู้คนตลอดทาง จนบางครั้งแซงต์ มาร์ เกรงว่านักโทษจะตายในเกี๊ยวเหมือนเตาอบเสียก่อ
  • ว่า กันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ ชายหน้ากากเหล็ก นั้นพยายามที่จะสื่อสารกับคนภายนอกโดยการเขียนข้อความบน แผ่นโลหะแล้วโยนออกไปจากหน้าต่างที่คุมขังของเขา เผอิญมีชาวประมงคนหนึ่งมาพบเห็น จึงนำของสิ่งนี้ให้กับผู้คุมคุกโดยเห็นว่าอาจเป็นของสำคัญ และทันทีที่ผู้คุมเห็นข้อความนี้ก็จะลงมือตัดศีรษะชาวประมงคนนี้อยู่แล้ว แต่โชคดีที่ชาวประมงนี้อ่านหนังสือไม่ออกจึงปล่อยไป
งานของ แซงค์ มาร์ ยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั้งปี 1698 เขาได้รับตำแหน่งใหญ่ประจำคุกบาสตีล แห่งนครปารีส แต่ภารกิจในการกักขังและปกปิด ชายหน้ากากเหล็ก ยังมีอยู่ พร้อมกับปริศนาที่ว่าชายคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงสำคัญหนักหนา และมีข้อสันนิษฐานที่เป็นยอมรับทุกฝ่ายคือ เขาน่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ และต้องมีความสำคัญเกินกว่าที่จะปลิดชีวิตทิ้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ทีจะปล่อยเขาเป็นอิสระ
ถ้าเป็นในหนัง หรือในนิยายเชื่อกันว่าชายสวมหน้ากากเหล็กนี้คือ พี่น้องฝาแฝดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดย ทั้งสองเป็นบุตรของดาตัญญัง หัวหน้าราชองครักษ์กับพระราชินีแอนน์แห่งออสเตรีย โดยสาเหตุที่จองจำน้องไว้ภายใต้หน้ากากก็เพราะเพื่อให้บัลลังก์ผู้พี่เกิด ความมั่งคงนั้นเอง
หรือจะเป็นข้อสันนิษฐานของ ลอร์ด ควิก ส์วูด เชื่อว่า ชายสวมหน้ากากเหล็ก ก็คือบิดาแท้ๆ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยแนวคิดนี้มีผู้เชื่อถือกันไม่น้อย โดยให้เหตุผลคือเพื่อความมั่งคงของชาติ แต่ห้ามประหารเพราะสมัยนั้นข้อบังคับของศาสนายังเป็นเรื่องเคร่งครัด การสังหารบิดาแท้ๆ เป็นความผิดใหญ่หลวง และพระเจ้าหลุยส์เองก็ไม่กล้าสังหารบิดาตัวเองจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ สุดยอดภายใต้ ชายหน้ากากเหล็ก ตลอดกาล
แต่ หลังจากที่เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสเมื่อปี 1789 ได้ราวสองปี ข่าวลือเกี่ยวกับ ชายหน้ากากเหล็ก จึงกล่าวถึงอีกครั้งว่าแท้จริงแล้วชายคน นี้คือพระเจ้าหลุยส์ 14 นั้นเอง เอาเข้าไป เพราะผลสรุปออกมาแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ ตัว นโปเลียนที่ก้าวมามีอำนาจหลังการปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 มากกว่า
แม้จนบัดนี้เวลาจะล่วงเลยมากว่าสามร้อยปีแล้ว แต่ปริศนาชายสวมหน้ากากเหล็กยังไร้คำตอบตายตัว ทราบแต่ว่าหลังจาก ชายหน้ากากเหล็ก สิ้นชีวิตลงในคุกบาสตีล ศพของเขาถูกฝังภายใต้ชื่อ Eustache Dauger ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลังเท่านั้น ส่วนหลักฐานอื่นๆ สูญหายหมด ห้อ งคุมขังถูกทาสีใหม่เพื่อป้องกันร่องรอยบางอย่างที่อาจหลงเหลืออยู่ โต๊ะเก้าอี้ภาชนะทุกชิ้นถูกเผาทิ้งไปเกือบหมดสิ้น
แม้แต่ หน้ากากเหล็ก ก็ถูก นำไปหลอมใหม่เพื่อยุติการสืบค้นตำนานของชายที่ยังเป็นปริศนาอยู่ทุกวันนี้
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก อันดับ 2 Gil Perez
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
Gil Perez เป็นชื่อ ของทหารสเปนลึกลับที่จู่ๆ เขาก็ไปปรากฏตัวที่เมืองเม็กซิโก เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1593 เขาแต่งเครื่องแบบแปลกๆ เขาได้อ้างว่าเขาถูกพลังลึกลับอย่างหนึ่งพัดพาเขามายังประเทศนี้
เรื่องนี้เป็นเล่าเก่าแก่ ที่มีมานานกว่าสี่ศตวรรษ เล่าว่า ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1593 ทหารหนุ่มรายหนึ่งพลัดจากประเทศฟิลิปปินส์แล้วไปหลงอยู่ในเม็กซิโกซิตี้ (ระยะทางกว่า 15,000 กม.) ชุดเครื่องแบบที่เขาสวมใส่นั้นดูประหลาดสำหรับชาวเมืองมาก เขาถูกสอบสวนเขาบอกว่าก่อนที่จะโผล่มาที่นี้เขายืนรักษาการณ์อยู่ที่ทำ ทำการราชการจังหวัดในกรุงมนิลา เมืองหลวงฟิลิปปินส์ ส่วน เขาก็หลงมาที่เม็กซิโกได้ยังไงก็ไม่ทราบ โดยเขาอ้างหลักฐานตนเองว่าที่ฟิลิปปินส์ผู้ว่าที่เขาประจำที่นั้นถูกลอบ สังหาร หลายเดือนต่อมามีเรือจากฟิลิปปินส์ ได้ยืนยันว่าข่าวลอบสังหารผู้ว่าเป็นเรื่องจริง และตรงกับรายละเอียดของทหารคนนั้นเล่าทุกประการ อีกทั้งผู้โดยสารเรือบางคนก็อ้างว่ารู้จักกับ Gil Perez และสาบานได้ว่าเห็นเขาอยู่ในฟิลปปินส์เมื่อวันที่ 23
สุดท้าย Gil Perez ก็ ได้กลับฟิลิปปินส์และชีวิตหลังจากนั้นของเขาก็หายไป ไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขาอีกเลยจัดกระทั่งบัดนี้ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ถึงเหตุการณ์ลึกลับนี้ซึ่งสมมุติฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือ เทเลพอเทชั่น (Teleportation) พลัง ลึกลับชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายสสาร วัตถุ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตไปมาระหว่างสองจุดโดยไม่ต้องผ่านระยะทางตรงหว่างกลาง ทั้งยังบังคับได้จากระยะไกล
เรื่องนี้ต่อมาได้รับอิทธิพลให้ นักเขียนแนวลึกลับนาม เอ็ม. เค. เจสอัพ เอาไปเขียนใน ฉลากสินค้า เวลาต่อมา
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก อันดับ 1 Green Children of Woolpit 
บุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก
บ่ายวันหนึ่งแห่งเดือนสิงหาคม ค.ศ.1887 เด็กสองคนจูงมือกัน เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงผาใกล้ หมู่บ้าน บานโฮเซ ในประเทศสเปน เข้าไปในนาซึ่งคนงานกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ เด็กสองคนนั้นเดินออกมาจากปากถ้ำอย่างปราศจากอาการหวาดกลัว ทั้งสองคนพูดภาษาที่แปลก และกระท่อนกระแท่น ไม่ใช้ภาษาสเปน และภาษาใดในโลก กับทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและที่ ประหลาดที่สุดก็คือผิวกายของเด็กทั้งคู่ไม่เหมือนคนธรรมดา ทั่วไป กล่าวคือเป็นสีเขียวขจี เมื่อพิจารณาดูลักษณะของตาเหมือนคนเอเชียมาก นัยน์ตากลมเหมือนผลมะนาว และลึก
พวกชาวนาพากันวิ่งกรูเข้าไปหาเด็กสองคนนั้น ฝ่ายเด็กก็ตื่นตกใจและออกวิ่ง ผู้คนเลยแตกตื่นวิ่งไล่ตาม ในที่สุดก็ตามทันและจับตัวไว้ได้นำไปที่หมู่บ้านทั้งสองคนถูกนำตัวไปที่บ้าน ของ ริคาร์โด ดา คาลโน ผู้ซึ่งเป็นทั้งนคราภิบาล และเจ้าของที่ดินคนสำคัญของหมู่บ้าน
ดา คาลโน พยายามพูดจากับเด็กคู่นั้น ส่วนคนอื่นๆ โผล่หน้าต่างดู เขาจับมือขวาของเด็กผู้หญิงยกขึ้นดู ปรากฏว่าสีเขียวติดแน่น จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของผิวกายอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กคนนั้นดึงมือกลับ แล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เจ้าของบ้านจัดอาหารมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็ไม่รับประทาน หยิบขนมปังขึ้นมาถือไว้แล้วหยิบผลไม้ แต่ก็เพียงมองดูด้วยความแปลกใจ ไม่ยอมเอามันเข้าไปใกล้ปาก เด็กทั้งสองพักอยู่ในบ้านนั้น 5 วัน ไม่กินอะไรเลยจนสังเกตเห็นได้ว่าอ่อนเพลีย จนในที่สุดเด็กชายก็เสียชีวิตจากไปเพราะร่างกายอ่อนแอ หลังจากมาที่ปรากฏตัวได้ที่นั่นหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ได้ถูกฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตามส่วนเด็กหญิงกลับแข็งแรงดี และทำหน้าที่เป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของ ดา คาลโน ผิวกายที่เป็นสีเขียวค่อยๆ จางลง หลังจากนั้น 2-3 เดือนเธอก็พูดภาษาสเปนได้บ้าง จึงสามารถให้ถ้อยคำชี้แจงแก่ดา คาลโนได้ถึงเรื่องราวในการมาของเธอ แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้ความลึกลับที่มีอยู่แล้วกลับมีมากยิ่งขึ้น
เธอบอกว่าเธอมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น และมีแสงสนธยาอยู่เสมอเป็นนิจ “มีดินแดนที่มีแสงสว่างแลเห็นอยู่ห่างไกลจากเรา แต่ถูกสกัดกั้นโดยธารน้ำที่กว้างมาก” ต่อคำถามที่ว่าทั้งสองคนมาสู่พิภพของเราได้อย่างไร เธอตอบได้แต่เพียงว่า “มีเสียงหนึ่งดังมากขึ้น และเสียงนั้นเองที่ตรึงจิตใจของเรา เราจึงมาตามเสียงนั้นและได้พบตัวเองมาอยู่ในทุ่งนาที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว”

อ้างอิง
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nooblue88&month=16-11-2012&group=1&gblog=75